วันที่ 7 มกราคมที่ผ่านมา ที่ประเทศกัมพูชา สมเด็จฮุน เซนและบรรดานักการเมืองรุ่นเก่าๆ ต่างก็มีสีหน้าชื่นบานอย่างดียิ่งในงานจัดพิธีรำลึกครบรอบ 44 ปี (1979-2023) ณ กรุงพนมเปญ เป็นวันชัยชนะเหนือระบอบฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เขมรแดง อันนี้คือมุมมองฝ่ายรัฐบาลฮุน เซนนะครับ ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งมองว่าวันนี้คือวันครบรอบ 44 ปีที่เวียดนามบุกยึดครองกัมพูชา โดยฝ่ายหลังนี้มองว่าเวียดนามมิได้มีเจตนาจะเข้ามาปลดปล่อยชาวเขมรจากระบบเขมรแดงอะไรหรอก แต่เจตนาจริงๆ เวียดนามต้องการยึดครองกัมพูชาเพื่อฐานขยายอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ต่อไปในประเทศอินโดจีนทั้งหมด ทั้งสองมุมมองนี้เท็จจริงอย่างไงขอไม่เล่าต่อครับ เพราะเรื่องมันยาว แต่เรื่องที่ผมตั้งใจเล่าต่อไปนี้คือสองภาพด้านล่างคับ
ภาพแรกคือทหารเวียดนามพร้อมด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์กำลังปฎิบัติการบุกเข้ายึดกรุงพนมเปญเพื่อโค่นล้มระบบเขมรแดงในเช้ามืดวันที่ 7 มกราคม ค.ศ. 1979 ปฎิบัติการครั้งนั้นเริ่มต้นเทียงคืนของวันที่ 24 ธันวาคม ค.ศ. 1978 มีทหารเวียดนามร่าวๆ 120,000 นาย และทหารชาวเขมรทีนำโดยนายเฮง สำริน (ปัจจุบันเป็นสมเด็จ เฮง สำริน ดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนฯ กัมพูชา) อีก 10,000 นาย
การปฏิบัติบุกกัมพูชาครั้งนั้นใช้เวลาเพียงอาทิตย์กว่าๆ สามารถเอาชนะเหนือทหารเขมรแดงอย่างง่ายได้ ทั้ง ๆ เขมรแดงได้รับการสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์จากจีนมากมาย แต่ก็แพ้ทหารเวียดนามแบบหมดสภาพเลย แก่นนำเขมรแดงต้องหนีตายเอาตัวรอดไปที่ชายแดนไทย
ภาพที่สอง คือเจ้านโรดม สีหนุ เป็นตัวแทนฝ่ายเขมรแดง ไปชี้แจงที่องค์การสหประชาชาติ กรณีเวียดนามเข้ายึดครองกัมพูชา สาระสำคัญของการชี้แจงคือปกป้องระบบเขมรแดงในทำนองว่าไม่มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในระบบการปกครองของเขมรแดง และในขณะเดียวกันนั้นเจ้าสีหนุก็ประณามเวียดนามที่เข้ายึดครองกัมพูชา
ที่เล่ามาแค่อยากบอกว่าเจ้าสีหนุที่เคยเป็นกษัตริย์ได้รับการยกย่องสรรเสริญว่าเป็นสมมติเทพ หรือพระโพธิสัตว์อะไรนั้น ความจริงท่านน่าเป็นผู้มีส่วนรับผิดชอบต่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ด้วย ภายใต้การปกครองของเขมรแดงใคร ๆ ก็รู้ว่ามีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และศาลพิเศษคดีเขมรแดงก็ได้ตัดสินไปแล้วว่าในระบบเขมรแดงมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เกิดขึ้นจริง แต่เจ้าสีหนุทำเป็นคนตาบอดมองไม่เห็นประชาชนของตนถูกฆ่า แถมเสนอหน้าออกไปปกป้องระบบเขมรแดงที่องค์การสหประชาชาติว่าไม่มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เกิดขึ้นในกัมพูชา อันนี้ยังไม่พูดถึงตอนเขมรแดงปกครองกัมพูชานั้น เจ้านโรดม สีหนุมีตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีในระบบนั้นอีกด้วย ดังนั้น จึงพูดได้ว่าเจ้าสีหนุเกี่ยวข้องกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไม่ทางตรงก็ทางอ้อมอย่างแน่นอน แม้ภายหลังท่านจะหลีกเลี่ยงทางกฎหมายไม่เข้าสู่กระบวนทางกฎหมายของศาลพิเศษคดีเขมรแดงได้สำเร็จก็ตาม แต่จากการกระทำข้างต้นสันนิษฐานได้ว่าเจ้าสีหนุน่าเป็นอาชญากรมากกว่าจะเป็นสมมติเทพหรือพระโพธิสัตว์หรือถ้าเชื่อตามนิทานชาดกเตมีย์ใบ้ เจ้าสีหนุก็เป็นคนบาปที่รอลงนรกอยู่ดีครับ เพราะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนตายจำนวนมากในยุคเขมรแดงเรื่องอำนาจ แม้ท่านจะปฏิเสธว่าท่านเองก็ถูกเขมรแดงหลอกให้เป็นประมุขของระบบเขมรแดงก็ตาม
ที่นี่การกล่าวหาว่าเจ้านโรดม สีหนุน่าเป็นอาชญากรในยุคเขมรแดงปกครองกัมพูชานี้ ไม่ใช่เรื่องเล่าตามกันมาอย่างใด หากแต่มีหลักฐานในประวัติศาสตร์ตำราเรียนของนักเรียนระดับปฐมศึกษากัมพูชาในช่วงคริสต์ทศวรรษ 80 อีกด้วย โดยเนื้อหาตอนหนึ่งตำราเรียนบอกว่า...พวกอาชญากรฆ่าล้างเผ่าพัพธุ์ประกอบด้วย นาย พล พต นายนวน เจีย นายเอียง สารี นายเขีย วสัมพัน และ เจ้านโรดม สีหนุ เป็นต้น นี้คือเนื้อหาในตำราเรียนที่กัมพูชาเคยเขียนสอนคนกัมพูชาในยุคนั้น
ทั้งนี้ ตำราเรียนดังกล่าวใช้สอนในโรงเรียนจนกระทั่งกัมพูชามีการเลือกตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1993 แต่เริ่มตัดชื่อเจ้านโรดม สีหนุ ออกจากอาชญากรในช่วง ค.ศ. 1991 เพราะช่วงนั้นเขมรสี่ฝ่ายมีการเจรจาทางการเมืองระหว่าง รัฐบาลเฮง สัมริน มีนายกรัฐมนตรีฮุน เซน เป็นหัวหน้าคณะเจรจา และเขมรอีกสามฝ่าย มีฝ่ายเขมรแดง ฝ่ายเจ้านโรดม สีหนุ และซืน ซาน เข้าใจว่าเขมรสามฝ่ายหลังคงเสนอให้รัฐบาลเฮง สัมรินตัดชื่อเจ้านโรดม สีหนุ ออกจากตำราเรียนในช่วงมีการเจรจาครั้งนั้น ส่วนคนอื่นๆ ก็ยังมีชื่อในตำราเรียนตามเดิมกระทั่งมีการเลือกตั้งเสร็จจึงยกเลิกไป
แต่น่าสังเกตว่าการตัดชื่อเจ้านโรดม สีหนุ ออกจากตำราเรียนครั้งนั้น หมายถึงว่าครูจะไม่เขียนชื่อเจ้าสีหนุบนกระดานดำในนามอาชญากรเท่านั้น แต่ชื่อของท่านก็ปรากฏในตำราเรียนตามเดิม เพียงแต่ครูไม่เอ่ยถึง หรือพูดถึงว่าท่านเป็นอาชญากรในห้องเรียนให้นักเรียนฟังเท่านั้นเอง ซึ่งก็คงได้ผล เพราะยุคนั้นตำราเรียนมักมีเล่มเดียวในมือครู นักเรียนคงไม่อาจรู้อะไรได้ถ้าครูไม่สอนว่าใครเป็นอาชญกรฆ่าล้างเผ่าพันธุ์